พียูโฟม
PU Foam คืออะไร? (Polyurethane Foam)
PU Foam (พียูโฟม) หรือ Polyurethane Foam (โพลียูรีเทนโฟม) คือวัสดุโพลีเมอร์ชนิดหนึ่งที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารประกอบหลักสองชนิด ได้แก่ โพลีออล (Polyol) และ ไอโซไซยาเนต (Isocyanate) โดยมีสารเติมแต่งอื่นๆ เช่น สารช่วยเป่า (Blowing Agent), ตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst), และสารคงสภาพ (Stabilizer) มาช่วยควบคุมคุณสมบัติของโฟมที่เกิดขึ้น
กระบวนการผลิต PU Foam มักเริ่มต้นด้วยของเหลวสองชนิด (Liquid Precursors) ที่เมื่อผสมกันแล้วจะเกิดปฏิกิริยาเคมีและขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นโครงสร้างเซลล์ปิด (Closed-cell) หรือเซลล์เปิด (Open-cell) ที่มีน้ำหนักเบา มีคุณสมบัติเด่นในการเป็นฉนวนกันความร้อน กันเสียง ซึมซับแรงกระแทก และอุดช่องว่างได้เป็นอย่างดี

โฟมก้อนขนาด 60×120 cm
หนา 0.5 cm ถึง 63 cm
เกรดลามไฟ
เกรดไม่ลามไฟ
เคลื่อนย้ายง่าย
เหมาะในพื้นที่จำกัด

โฟมก้อนขนาด 120×300 cm
หนา 0.5 cm ถึง 63 cm
เกรดลามไฟ
เกรดไม่ลามไฟ
เคลื่อนย้ายง่าย
ชิ้นใหญ่รอยต่อน้อย

โฟมก้อนขนาด 120×600 cm
หนา 0.5 cm ถึง 63 cm
เกรดลามไฟ
เกรดไม่ลามไฟ
เคลื่อนย้ายรถหกล้อขึ้นไป
ชิ้นใหญ่รอยต่อน้อย
ส่วนประกอบและการเกิดปฏิกิริยาของ PU Foam
เพื่อให้เข้าใจ PU Foam ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรามาดูกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร:
PU Foam เกิดจากปฏิกิริยาหลักระหว่างสารสองกลุ่มคือ:
โพลีออล (Polyol): เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ไฮดรอกซิล (-OH) อย่างน้อยสองหมู่ในโมเลกุล ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นหลักในการสร้างโครงสร้างโพลีเมอร์ แบ่งได้เป็น:
โพลีอีเทอร์โพลีออล (Polyether Polyols): มักให้โฟมที่มีความยืดหยุ่นสูง (Flexible PU Foam) เหมาะสำหรับที่นอน โซฟา
โพลีเอสเทอร์โพลีออล (Polyester Polyols): มักให้โฟมที่มีความแข็ง (Rigid PU Foam) เหมาะสำหรับฉนวนกันความร้อน
ไอโซไซยาเนต (Isocyanate): เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ไอโซไซยาเนต (-NCO) แบ่งได้เป็น:
MDI (Methylene Diphenyl Diisocyanate): เป็นไอโซไซยาเนตที่นิยมใช้มากที่สุดในงาน PU Foam ทั่วไป
TDI (Toluene Diisocyanate): ใช้ในบางงานที่ต้องการคุณสมบัติเฉพาะ
สารเติมแต่ง (Additives) และบทบาท:
นอกจากสารตั้งต้นหลักแล้ว การผลิต PU Foam ยังต้องมีสารเติมแต่งเพื่อควบคุมปฏิกิริยาและคุณสมบัติของโฟม:
สารช่วยเป่า (Blowing Agent): เป็นสารที่ทำให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือใช้สารไฮโดรคาร์บอนต่างๆ เช่น เพนเทน (Pentane) หรือ HFCs (Hydrofluorocarbons) เพื่อทำให้โฟมขยายตัวและเกิดโครงสร้างเซลล์ ตัวอย่างเช่น:
น้ำ (Water): เมื่อทำปฏิกิริยากับไอโซไซยาเนต จะเกิด CO2 ทำให้โฟมขยายตัว
สารทำความเย็น (Refrigerants): ในอดีตนิยมใช้ CFCs/HCFCs แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น HFCs หรือ HFOs เพื่อประสิทธิภาพการเป็นฉนวนที่ดีเยี่ยม
ตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst): ช่วยควบคุมความเร็วของปฏิกิริยาเคมี ทำให้โฟมแข็งตัวในเวลาที่เหมาะสม
สารคงสภาพ (Surfactant/Stabilizer): ช่วยควบคุมขนาดและโครงสร้างของเซลล์โฟม ทำให้ได้โฟมที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ
สารหน่วงการติดไฟ (Flame Retardants): เพิ่มความสามารถในการทนไฟ ลดการลุกลามของไฟ
สารแต่งสี (Pigments): ใช้สำหรับแต่งสีโฟมตามความต้องการ
คุณสมบัติทางเทคนิคที่สำคัญของ PU Foam
การเลือกใช้ PU Foam ให้เหมาะสมกับงาน จำเป็นต้องพิจารณาคุณสมบัติทางเทคนิคเหล่านี้:
ความหนาแน่น (Density): เป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งบอกถึงความแข็งแรงและคุณสมบัติการเป็นฉนวน วัดเป็นกิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (kg/m³) หรือปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต (lb/ft³):
โฟมความหนาแน่นต่ำ (Low-Density Foam): มักเป็นเซลล์เปิด มีน้ำหนักเบา นุ่ม ใช้สำหรับฉนวนกันเสียง หรือเบาะนั่ง (เช่น 8-30 kg/m³)
โฟมความหนาแน่นปานกลาง (Medium-Density Foam): อาจเป็นได้ทั้งเซลล์เปิดหรือเซลล์ปิด มีสมดุลระหว่างการเป็นฉนวนและความแข็งแรง (เช่น 30-45 kg/m³)
โฟมความหนาแน่นสูง (High-Density Foam): มักเป็นเซลล์ปิด มีความแข็งแรงสูง เป็นฉนวนความร้อนดีเยี่ยม ใช้สำหรับงานโครงสร้าง หรือห้องเย็น (เช่น 45-100+ kg/m³)
ค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อน (Thermal Conductivity, k-value หรือ λ-value): ค่านี้ยิ่งต่ำ ยิ่งเป็นฉนวนความร้อนที่ดีเยี่ยม วัดเป็นวัตต์ต่อเมตร-เคลวิน (W/(m·K)) หรือ BTU-นิ้วต่อตารางฟุต-ชั่วโมง-ฟาเรนไฮต์ (BTU·in/(hr·ft²·°F)):
PU Foam มีค่า k-value ต่ำมาก โดยเฉพาะชนิดเซลล์ปิด (ประมาณ 0.020 – 0.030 W/(m·K)) ซึ่งทำให้เหนือกว่าฉนวนประเภทอื่นหลายชนิด
ค่าความต้านทานความร้อน (Thermal Resistance, R-value): ค่านี้ยิ่งสูง ยิ่งเป็นฉนวนความร้อนที่ดีเยี่ยม คำนวณจากความหนาหารด้วยค่า k-value (R = Thickness / k) หรือระบุเป็นหน่วย ft²·hr·°F/BTU
การดูดซึมน้ำ (Water Absorption): ความสามารถในการดูดซับน้ำ โฟมเซลล์ปิดจะมีการดูดซึมน้ำต่ำมาก ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการป้องกันความชื้น
การซึมผ่านของไอน้ำ (Water Vapor Permeance): ความสามารถในการให้ไอน้ำผ่าน โฟมเซลล์ปิดจะมีการซึมผ่านของไอน้ำต่ำ
ความทนทานต่ออุณหภูมิ (Temperature Resistance): ช่วงอุณหภูมิที่โฟมสามารถคงสภาพและคุณสมบัติได้ โดยทั่วไป PU Foam สามารถใช้งานได้ในช่วง -40°C ถึง +100°C (หรือสูงกว่าเล็กน้อยสำหรับบางสูตร)
ความแข็งแรงเชิงกล (Mechanical Strength):
ความต้านทานแรงกด (Compressive Strength): ความสามารถในการทนทานต่อแรงกด โดยไม่ยุบตัวหรือเสียหาย (สำคัญสำหรับโฟมแข็ง)
ความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength): ความสามารถในการทนทานต่อแรงดึง
ความยืดหยุ่น (Flexibility/Elongation): ความสามารถในการยืดหยุ่นและคืนตัว (สำคัญสำหรับโฟมนุ่ม)
การหน่วงการติดไฟ (Fire Retardancy): การเติมสารหน่วงการติดไฟช่วยเพิ่มความปลอดภัย โดยจะมีการจัดประเภทตามมาตรฐานการทดสอบการลามไฟ เช่น Class 1, Class A
อายุการใช้งาน (Service Life): PU Foam ที่ติดตั้งอย่างถูกต้องสามารถมีอายุการใช้งานยาวนานเท่ากับอายุของอาคารหรือโครงสร้างที่มันถูกติดตั้ง
ประเภทของ PU Foam และการใช้งาน
PU Foam สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามโครงสร้างเซลล์และความแข็ง โดยประเภทที่พบบ่อยและมีการใช้งานอย่างกว้างขวาง ได้แก่:
1. PU Foam แบบเซลล์ปิด (Closed-Cell PU Foam)
คุณสมบัติ:
มีโครงสร้างเซลล์ที่ปิดสนิท ไม่เชื่อมต่อกัน ทำให้โมเลกุลอากาศถูกกักเก็บอยู่ภายในเซลล์
มีความหนาแน่นสูงกว่า PU Foam แบบเซลล์เปิด
มีคุณสมบัติเป็นฉนวนความร้อนดีเยี่ยม เนื่องจากอากาศที่ถูกกักเก็บไว้ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้
กันน้ำและกันความชื้นได้ดีมาก ไม่ดูดซับน้ำ
มีความแข็งแรงและทนทานต่อแรงกดได้ดี
มักใช้ในการฉีดพ่น (Spray Foam) หรือผลิตเป็นแผ่นแข็ง (Rigid Board)
การใช้งาน:
งานก่อสร้าง:
ฉนวนกันความร้อนหลังคา ผนัง: ใช้ฉีดพ่นใต้หลังคา ผนัง เพื่อป้องกันความร้อนเข้าสู่ภายในอาคาร ช่วยประหยัดพลังงานจากการลดการใช้เครื่องปรับอากาศ
ห้องเย็น, ห้องแช่แข็ง: เป็นฉนวนสำคัญในระบบห้องเย็น เพื่อรักษาอุณหภูมิต่ำ
ฉนวนท่อ: หุ้มท่อน้ำร้อน ท่อน้ำเย็น ท่อส่งลม เพื่อลดการสูญเสียพลังงาน
อุดรอยรั่ว, ช่องว่าง: ใช้สำหรับอุดรอยแตก รอยแยก หรือช่องว่างบริเวณประตู หน้าต่าง เพื่อป้องกันน้ำ อากาศ และเสียง
อุตสาหกรรมยานยนต์: ใช้เป็นวัสดุฉนวนกันเสียงและกันความร้อนในรถยนต์
เครื่องใช้ไฟฟ้า: ใช้เป็นฉนวนในตู้เย็น ตู้แช่แข็ง เครื่องปรับอากาศ
การบรรจุภัณฑ์: ใช้เป็นวัสดุกันกระแทกสำหรับสินค้าที่เปราะบาง
เรือและยานพาหนะทางน้ำ: ใช้เป็นวัสดุลอยน้ำหรือเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างเรือ
Keyword สำคัญ: PU Foam เซลล์ปิด, Closed-cell PU Foam, ฉนวนหลังคา, ฉนวนผนัง, ห้องเย็น, อุดรอยรั่ว, กันน้ำ, งานก่อสร้าง, ยานยนต์
2. PU Foam แบบเซลล์เปิด (Open-Cell PU Foam)
คุณสมบัติ:
มีโครงสร้างเซลล์ที่เชื่อมต่อถึงกัน อากาศสามารถไหลผ่านได้
มีความหนาแน่นต่ำกว่า PU Foam แบบเซลล์ปิด
มีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันเสียงได้ดีเยี่ยม เนื่องจากโครงสร้างเซลล์ช่วยดูดซับคลื่นเสียง
มีความยืดหยุ่นสูง คืนตัวได้ดี
ไม่กันน้ำและดูดซับน้ำได้ดีกว่าแบบเซลล์ปิด
มักใช้ในการฉีดพ่น (Spray Foam) หรือผลิตเป็นแผ่นนุ่ม (Flexible Foam)
การใช้งาน:
งานก่อสร้าง:
ฉนวนกันเสียง: ใช้ในสตูดิโอ ห้องประชุม โรงภาพยนตร์ หรือพื้นที่ที่ต้องการควบคุมเสียง
ฉนวนกันความร้อน (ในบางกรณี): แม้จะไม่ดีเท่าเซลล์ปิด แต่ก็ยังสามารถลดการถ่ายเทความร้อนได้ในระดับหนึ่ง
เฟอร์นิเจอร์: ใช้เป็นวัสดุหลักในการทำที่นอน หมอน โซฟา เบาะรองนั่ง เนื่องจากมีความนุ่มสบายและยืดหยุ่น
รองเท้า: ใช้เป็นพื้นรองเท้า เพื่อความสบายและซึมซับแรงกระแทก
อุปกรณ์กีฬา: ใช้เป็นวัสดุกันกระแทกในหมวกกันน็อค หรืออุปกรณ์ป้องกัน
บรรจุภัณฑ์: ใช้เป็นวัสดุกันกระแทกสำหรับสินค้าที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง
Keyword สำคัญ: PU Foam เซลล์เปิด, Open-cell PU Foam, ฉนวนกันเสียง, ที่นอน, โซฟา, เฟอร์นิเจอร์, ดูดซับเสียง, ยืดหยุ่น
3. PU Rigid Foam (โฟมแข็ง)
คุณสมบัติ:
เป็นโฟมแบบเซลล์ปิดที่มีความแข็งแรงสูง
ทนทานต่อแรงกดและแรงกระแทกได้ดี
มีคุณสมบัติเป็นฉนวนความร้อนที่ดีเยี่ยม
มักผลิตเป็นแผ่นหรือบล็อก
การใช้งาน:
ฉนวนสำหรับอาคารและอุตสาหกรรม: แผ่นฉนวนสำเร็จรูปสำหรับผนัง หลังคา พื้น
งานโครงสร้าง: ใช้เติมเต็มในโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงและน้ำหนักเบา
การแกะสลักและขึ้นรูป: ใช้เป็นวัสดุสำหรับสร้างแบบจำลอง หรือแกะสลัก
4. PU Flexible Foam (โฟมนุ่ม)
คุณสมบัติ:
เป็นโฟมแบบเซลล์เปิดที่มีความยืดหยุ่นสูง
คืนตัวได้ดีหลังจากถูกกดทับ
ระบายอากาศได้ดี
การใช้งาน:
เครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์: ที่นอน หมอน โซฟา เบาะรองนั่ง
เบาะรถยนต์: เบาะนั่ง พนักพิง
ฟองน้ำ: ฟองน้ำล้างจาน ฟองน้ำสำหรับทำความสะอาด
บรรจุภัณฑ์: วัสดุกันกระแทกสำหรับสินค้าที่ต้องการความนุ่มนวล
5. PU Spray Foam (โฟมฉีดพ่น)
คุณสมบัติ:
มาในรูปแบบของเหลวสองส่วนผสม (Two-component) ที่จะทำปฏิกิริยาและขยายตัวเมื่อฉีดพ่น
สามารถฉีดพ่นได้กับพื้นผิวที่ซับซ้อน หรือมีรูปทรงไม่สม่ำเสมอ
มีทั้งแบบเซลล์เปิดและเซลล์ปิด ขึ้นอยู่กับสูตรเคมี
สามารถยึดเกาะกับพื้นผิวได้ดีเยี่ยม
การใช้งาน:
งานฉนวนอาคาร: ฉีดพ่นใต้หลังคา ผนัง เพดาน เพื่อเป็นฉนวนกันความร้อนและกันเสียง
อุดช่องว่าง รอยรั่ว: ใช้สำหรับอุดรอยแตก รู หรือช่องว่างที่เข้าถึงยาก
งานซ่อมแซม: ใช้ซ่อมแซมรอยรั่วของท่อ หรือโครงสร้าง
ขั้นตอนการใช้งาน PU Foam แบบแผ่น
PU Foam แบบแผ่น มักมาในรูปแบบของ แผ่นฉนวนสำเร็จรูป (Sandwich Panel) ที่มีไส้กลางเป็น PU Foam ประกบด้วยวัสดุผิวหน้าต่างๆ เช่น เหล็กเคลือบสี (Color Bond Steel), สเตนเลส, หรืออลูมิเนียม ซึ่งทำให้ติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว
การเตรียมการก่อนติดตั้ง
การออกแบบและคำนวณ:
กำหนดความหนาของแผ่น: เลือกความหนาของ แผ่น PU Foam ที่เหมาะสมกับค่า R-value หรือ ค่าฉนวนกันความร้อน ที่ต้องการ โดยพิจารณาจากอุณหภูมิภายนอกและภายในที่ต้องการควบคุม (ยิ่งหนา ยิ่งเป็นฉนวนดี)
คำนวณปริมาณ: คำนวณจำนวนแผ่นที่ต้องใช้ รวมถึงอุปกรณ์ประกอบ เช่น แผ่นครอบมุม, ตัวยึด, ซิลิโคน, หรือกาวเฉพาะ
การวางแผนโครงสร้าง: ตรวจสอบโครงสร้างที่จะติดตั้งว่ามีความแข็งแรงเพียงพอที่จะรับน้ำหนักของแผ่นฉนวนและอุปกรณ์ยึดหรือไม่ หากเป็นงานผนังหรือหลังคา ควรมีโครงสร้างรองรับที่เหมาะสม (เช่น โครงเหล็ก)
การเตรียมพื้นที่:
ทำความสะอาดพื้นผิวหรือโครงสร้างที่จะติดตั้งให้ปราศจากฝุ่น คราบน้ำมัน หรือเศษวัสดุ
ตรวจสอบระดับและความได้ฉากของโครงสร้าง เพื่อให้การติดตั้งแผ่นทำได้อย่างเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
เตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือ:
เครื่องมือตัด: เลื่อยวงเดือน หรือเลื่อยจิ๊กซอว์สำหรับตัดแผ่น (ควรใช้ใบมีดที่คมและเหมาะสมกับวัสดุผิวหน้า)
เครื่องมือยึด: สว่านไฟฟ้า, สกรู, รีเวท, หรืออุปกรณ์ยึดอื่นๆ ตามประเภทของแผ่นและโครงสร้าง
อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): ถุงมือ, แว่นตานิรภัย, หน้ากากกันฝุ่น (หากมีการตัดแผ่น), รองเท้าเซฟตี้
อุปกรณ์เสริม: ซิลิโคน หรือวัสดุยาแนวรอยต่อ, แผ่นครอบมุม, ค้อนยาง, ระดับน้ำ, ตลับเมตร
ขั้นตอนการติดตั้ง PU Foam แบบแผ่น
การยกและวางตำแหน่งแผ่น:
ยก แผ่น PU Foam ขึ้นติดตั้งอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันความเสียหายที่ผิวหน้าหรือขอบแผ่น
เริ่มวางตำแหน่งแผ่นแรกจากมุม หรือจุดอ้างอิงที่กำหนดไว้ โดยตรวจสอบให้ได้ระดับและแนวที่ถูกต้อง
ในกรณีที่ต้องติดตั้งบนหลังคา หรือผนังสูง ควรมีระบบรองรับ หรือนั่งร้านที่ปลอดภัย
การยึดแผ่นเข้ากับโครงสร้าง:
ยึดแผ่นเข้ากับโครงสร้างรองรับด้วยสกรู, รีเวท หรือตัวยึดที่เหมาะสม โดยเว้นระยะห่างตามคำแนะนำของผู้ผลิต
สำหรับ แผ่นฉนวนสำเร็จรูป มักจะมีระบบเข้าลิ้น (Tongue and Groove) หรือ Joint System ที่ออกแบบมาเพื่อให้แผ่นประกบกันได้สนิท ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกันความร้อนและลดการรั่วไหล
ยึดแผ่นถัดไปให้เข้าลิ้นกับแผ่นแรกอย่างแน่นหนา ตรวจสอบแนวและระดับให้ตรงกันตลอด
การตัดแต่งและปรับแก้:
หากจำเป็นต้องมีการตัดแผ่นเพื่อปรับขนาด หรือทำช่องเปิดสำหรับประตู หน้าต่าง หรือช่องลม ให้ใช้เครื่องมือตัดที่เหมาะสม โดยวัดขนาดและทำเครื่องหมายให้แม่นยำ
ระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายกับไส้โฟม หรือผิวหน้าแผ่นมากเกินไป
การเก็บรายละเอียดรอยต่อ:
บริเวณรอยต่อระหว่างแผ่น หรือรอยต่อกับโครงสร้างอื่นๆ ควรมีการยาแนวด้วย ซิลิโคน หรือ วัสดุยาแนว ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการรั่วไหลของอากาศ ความชื้น และเพิ่มประสิทธิภาพของฉนวน
ติดตั้ง แผ่นครอบมุม หรือ แผ่นแฟลชชิ่ง (Flashing) บริเวณมุมอาคาร ขอบประตู หน้าต่าง หรือบริเวณรอยต่ออื่นๆ เพื่อความสวยงาม และช่วยป้องกันน้ำเข้า
การตรวจสอบหลังการติดตั้ง:
ตรวจสอบรอยต่อและจุดยึดทั้งหมดว่าแน่นหนาและไม่มีช่องว่าง
ทำความสะอาดเศษวัสดุ และคราบสกปรกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการติดตั้ง
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม
การป้องกันแสงแดด/รังสียูวี: แม้ว่า PU Foam แบบแผ่น มักจะมีผิวหน้าเป็นโลหะที่ช่วยป้องกันรังสียูวีได้อยู่แล้ว แต่ในบางกรณีที่ไส้โฟมอาจสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง (เช่น ขอบแผ่นที่ไม่ได้ปิดด้วยแผ่นครอบ) ควรพิจารณาการทา สารเคลือบป้องกันรังสียูวี เพิ่มเติม
การป้องกันความเสียหายทางกายภาพ: แผ่น PU Foam ควรได้รับการปกป้องจากแรงกระแทก หรือการเจาะทะลุ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพของฉนวนลดลง
การระบายอากาศ: แม้จะเป็นฉนวนที่ดีเยี่ยม แต่การออกแบบระบบระบายอากาศภายในอาคารก็ยังคงมีความสำคัญ เพื่อสุขอนามัยที่ดีและลดความอับชื้น

ทำไม PU Foam จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด?
U Foam เป็นวัสดุอเนกประสงค์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นมากมาย ทั้งในด้านฉนวนกันความร้อน ฉนวนกันเสียง การเติมเต็มช่องว่าง และการเป็นวัสดุกันกระแทก ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายและความสามารถในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท ทำให้ PU Foam เป็นที่นิยมและถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า การเลือกใช้ PU Foam ที่เหมาะสมกับงาน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างหรือผลิตภัณฑ์ได้อย่างยั่งยืน

EPS Foam Block
ข้อดีและข้อจำกัดของ PU Foam
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองพิจารณาทั้งข้อดีและข้อจำกัดของ PU Foam ครับ:
ข้อดี (Advantages)
ประสิทธิภาพฉนวนสูง: เป็นฉนวนกันความร้อนและกันเสียงที่ดีเยี่ยมที่สุดในบรรดาวัสดุฉนวนทั่วไป ช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างมาก
น้ำหนักเบา: ไม่เพิ่มภาระโครงสร้าง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง
ยึดเกาะดีเยี่ยม: สามารถยึดเกาะกับพื้นผิวได้หลากหลายประเภท เช่น คอนกรีต โลหะ ไม้ โดยไม่ต้องใช้ตัวยึดเพิ่มเติม
ปิดรอยรั่วได้สมบูรณ์: ด้วยคุณสมบัติการขยายตัว ทำให้สามารถเติมเต็มช่องว่าง ซอกมุม และรอยแตกได้โดยไม่มีช่องว่างเหลือ
กันน้ำและกันความชื้น: โฟมเซลล์ปิดไม่ดูดซับน้ำและป้องกันการซึมผ่านของไอน้ำ
ทนทานต่อสารเคมี: ทนทานต่อกรด ด่าง และสารเคมีบางชนิด
อายุการใช้งานยาวนาน: เมื่อติดตั้งถูกต้องและได้รับการป้องกันจากแสงแดด สามารถมีอายุการใช้งานได้หลายสิบปี
ลดการเกิดเชื้อราและแมลง: โฟมเป็นวัสดุอนินทรีย์ ไม่เป็นแหล่งอาหารของเชื้อรา ปลวก หรือแมลง
ติดตั้งรวดเร็ว: การฉีดพ่นสามารถทำได้รวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่กว้าง
ข้อจำกัด (Limitations)
ไวต่อรังสียูวี: PU Foam จะเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง จำเป็นต้องมีการทา สารเคลือบป้องกันรังสียูวี (เช่น สีอะคริลิก หรือวัสดุกันซึม) เพื่อยืดอายุการใช้งาน
ความต้องการการระบายอากาศระหว่างการติดตั้ง: การฉีดพ่น PU Foam จะเกิดไอระเหยที่อาจเป็นอันตรายได้ ผู้ติดตั้งจำเป็นต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) และทำงานในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศเพียงพอ
ราคา: อาจมีราคาสูงกว่าฉนวนบางประเภทในบางกรณี แต่ประสิทธิภาพที่ได้ก็สูงกว่าเช่นกัน
การกำจัด: โฟมที่แข็งตัวแล้วค่อนข้างยากต่อการกำจัด หากต้องการรื้อถอนในอนาคต
ความไวไฟ (ในระดับหนึ่ง): แม้จะมีการเติมสารหน่วงการติดไฟ แต่ PU Foam ก็ยังเป็นวัสดุที่ติดไฟได้ หากสัมผัสกับความร้อนสูงมากเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม โฟมจะค่อยๆ ไหม้และไม่ลามไฟอย่างรวดเร็ว (ขึ้นอยู่กับสูตรและการทดสอบ)
ความแม่นยำในการฉีดพ่น: การฉีดพ่นต้องใช้ความชำนาญ เพื่อให้ได้ความหนาและคุณสมบัติที่สม่ำเสมอ
คุณสมบัติเด่นของ PU Foam
PU Foam ป้องกันเสียง เก็บความเย็น ปกป้องทุกสิ่งที่คุณห่วงใย

การใช้งาน PU Foam ในอุตสาหกรรมต่างๆ
PU Foam เป็นวัสดุอเนกประสงค์ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานที่ต้องการ ฉนวนกันความร้อนคุณภาพสูง และคุณสมบัติในการ กันน้ำ กันความชื้น ได้ดีเยี่ยม
บทความ

การทดสอบโฟม eps มาตรฐาน ASTM C 518-17
มาตรฐาน ASTM C518-17 ทดสอบการลามไฟ โฟม EPS […]

คุณภาพโฟม eps ของ เอทีโฟม
คุณภาพโฟมอีพีเอส ของ AT Foam
ขอรายละเอียดเพิ่มเติม
ขอใบเสนอราคา