Mon -Sat 08:00-18:00

Tel : 062-336-9655

info@atcinsu.com

บริษัท เอ.ที.คอน อินซูเลชั่น จำกัด เรียกว่าสั้นๆ ว่า เอ.ที.โฟม หรือ เอ.ที.คอน คือบริษัทเดียวกัน ที่ขายโฟม EPS

การทดสอบโฟม eps มาตรฐาน ASTM C 518-17

มาตรฐาน ASTM C518-17 ทดสอบการลามไฟ โฟม EPS

มาตรฐาน ASTM C518-17 เป็นวิธีการทดสอบที่ใช้สำหรับกำหนดคุณสมบัติการส่งผ่านความร้อนแบบสภาวะคงตัว (Steady-State Thermal Transmission Properties) โดยใช้อุปกรณ์ Heat Flow Meter (เครื่องวัดการไหลของความร้อน) ซึ่งเป็นที่นิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายในการประเมินคุณสมบัติฉนวนกันความร้อน รวมถึงโฟม Expanded Polystyrene (EPS) อย่างไรก็ตาม ASTM C518-17 ไม่ใช่มาตรฐานการทดสอบ “การลามไฟ” (Flammability or Fire Propagation) แต่เป็นการทดสอบ “การนำความร้อน” (Thermal Conductivity) และ “ความต้านทานความร้อน” (Thermal Resistance หรือ R-value) ของวัสดุ

เพื่อให้ข้อมูลที่ละเอียดและครบถ้วนตามที่คุณต้องการเกี่ยวกับ ASTM C518-17 และความเกี่ยวข้องกับ EPS foam รวมถึงการชี้แจงเรื่องการทดสอบการลามไฟ ผมขอแยกประเด็นดังนี้

1. ASTM C518-17: การทดสอบคุณสมบัติการนำความร้อนของโฟม EPS

วัตถุประสงค์ของมาตรฐาน ASTM C518-17

มาตรฐานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดค่าการนำความร้อน (k-value) และค่าความต้านทานความร้อน (R-value) ของวัสดุฉนวนและวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ที่มีลักษณะเป็นแผ่นเรียบภายใต้สภาวะคงตัว (steady-state conditions) โดยใช้อุปกรณ์ Heat Flow Meter (HFM) ซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็วและใช้งานได้ง่าย

หลักการทำงานของ Heat Flow Meter Apparatus

อุปกรณ์ Heat Flow Meter ประกอบด้วยแผ่นร้อน (hot plate) และแผ่นเย็น (cold plate) โดยวางชิ้นงานทดสอบ (specimen) ไว้ระหว่างแผ่นทั้งสอง จากนั้นควบคุมอุณหภูมิของแผ่นร้อนและแผ่นเย็นให้คงที่เพื่อให้เกิดการไหลของความร้อนผ่านชิ้นงาน อุปกรณ์จะวัดปริมาณการไหลของความร้อนที่ผ่านชิ้นงานและวัดอุณหภูมิที่ผิวหน้าทั้งสองด้านของชิ้นงาน เพื่อนำไปคำนวณหาค่า thermal conductivity (k) และ thermal resistance (R)
Thermal Conductivity (k-value): ค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนของวัสดุ ยิ่งค่าน้อยยิ่งเป็นฉนวนที่ดี หน่วยที่นิยมใช้คือ W/(m·K) หรือ BTU·in/(hr·ft²·°F)
Thermal Resistance (R-value): ค่าความต้านทานความร้อนของวัสดุ ยิ่งค่ามากยิ่งเป็นฉนวนที่ดี เป็นค่าผกผันกับค่า k-value และขึ้นอยู่กับความหนาของวัสดุ (R = L/k เมื่อ L คือความหนา) หน่วยที่นิยมใช้คือ m²·K/W หรือ ft²·hr·°F/BTU

รูปภาพโฟม EPS (Expanded Polystyrene Foam) ก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ แสดงถึงโครงสร้างเซลล์ปิด น้ำหนักเบา แข็งแรง และเป็นฉนวนกันความร้อนที่ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์ และงานวิศวกรรม

ASTM C518-17 มาตฐานการทดสอบโฟม eps ของ เอทีโฟม.

     ASTM C518-17 เป็นมาตรฐานที่สำคัญสำหรับการประเมิน คุณสมบัติการนำความร้อน ของโฟม EPS ซึ่งเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการใช้งานเป็นฉนวนกันความร้อนในอาคารและอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทดสอบการลามไฟ สำหรับการทดสอบการลามไฟของโฟม EPS ต้องอาศัยมาตรฐานอื่นๆ เช่น ASTM E84, NFPA 286 หรือ ISO 5660 เพื่อประเมินพฤติกรรมการตอบสนองต่อไฟ และการพิจารณาเลือกใช้โฟม EPS ในงานก่อสร้างต้องคำนึงถึงทั้งคุณสมบัติทางความร้อนและคุณสมบัติการลามไฟที่ได้รับการทดสอบตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด

โฟมก้อน EPS สีขาว สำหรับงานแกะสลักและสร้างโมเดล จำลองสถาปัตยกรรม หรืองานศิลปะ ทนทานต่อแรงกด ตัดแต่งง่าย เหมาะสำหรับช่างฝีมือและนักออกแบบ

EPS FOAM

ขั้นตอนการทดสอบโดยทั่วไป (โดยสรุป)

1. การเตรียมชิ้นงานทดสอบ:
ชิ้นงานต้องเป็นแผ่นเรียบ มีขนาดตามที่กำหนด (มักจะประมาณ 300×300 มม. หรือใกล้เคียง) และมีความหนาที่เหมาะสมกับการทดสอบ (ASTM C518 ระบุว่าสามารถทดสอบชิ้นงานที่มีความหนาได้ตั้งแต่ 5 มม. ถึง 50 มม. หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับความสามารถของเครื่องมือ)
โฟม EPS ควรถูกเตรียมให้มีผิวเรียบเสมอกัน และไม่มีข้อบกพร่องที่อาจส่งผลต่อการวัด
ต้องมีการปรับสภาพชิ้นงาน (conditioning) ให้อยู่ในสภาวะอุณหภูมิและความชื้นที่กำหนดก่อนการทดสอบ (เช่น 23 ± 2 °C และความชื้นสัมพัทธ์ 50 ± 5%) เพื่อให้แน่ใจว่าผลการทดสอบมีความแม่นยำและสามารถเปรียบเทียบกันได้
2. การติดตั้งชิ้นงาน:
วางชิ้นงานโฟม EPS อย่างระมัดระวังระหว่างแผ่นร้อนและแผ่นเย็นของเครื่อง Heat Flow Meter
ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการสัมผัสที่ดีระหว่างผิวหน้าของชิ้นงานกับแผ่นวัดอุณหภูมิและแผ่นเซ็นเซอร์การไหลของความร้อน เพื่อลดความคลาดเคลื่อนจากการสัมผัสที่ไม่สมบูรณ์
3. การตั้งค่าและควบคุมอุณหภูมิ:
กำหนดอุณหภูมิของแผ่นร้อนและแผ่นเย็น โดยทั่วไปจะตั้งค่าให้เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิที่ชัดเจน เช่น แผ่นร้อนที่ 25°C และแผ่นเย็นที่ 5°C เพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิ (mean temperature) ที่ต้องการทดสอบ (ในตัวอย่างนี้คือ 15°C)
อุณหภูมิเฉลี่ยมีความสำคัญเนื่องจากคุณสมบัติทางความร้อนของวัสดุอาจเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิ
ระบบควบคุมอุณหภูมิของเครื่องจะรักษาอุณหภูมิของแผ่นทั้งสองให้คงที่ตลอดการทดสอบ
4. การวัดค่า:
เครื่องจะทำการวัดการไหลของความร้อนผ่านชิ้นงานและอุณหภูมิที่ผิวหน้าของชิ้นงานอย่างต่อเนื่อง
การทดสอบจะดำเนินไปจนกว่าระบบจะเข้าสู่สภาวะคงตัว (steady-state condition) ซึ่งหมายถึงการที่อัตราการไหลของความร้อนและอุณหภูมิที่วัดได้คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาที่กำหนด
ซอฟต์แวร์ของเครื่องมือจะบันทึกข้อมูลและคำนวณค่า thermal conductivity (k) และ thermal resistance (R) โดยอัตโนมัติ

ความสำคัญของผลลัพธ์

1. การออกแบบอาคาร: ค่า R-value ของโฟม EPS เป็นปัจจัยสำคัญในการออกแบบอาคารที่ต้องการประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูง ช่วยในการคำนวณการสูญเสียความร้อนหรือความเย็นผ่านผนัง หลังคา และพื้น
2. การเลือกใช้วัสดุ: ผู้ผลิตและผู้ใช้งานสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพฉนวนของโฟม EPS กับวัสดุอื่นๆ เพื่อเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ
3. การควบคุมคุณภาพ: ผู้ผลิตโฟม EPS ใช้ ASTM C518-17 ในการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มั่นใจว่าโฟม EPS ที่ผลิตได้มีค่าการนำความร้อนตามมาตรฐานที่กำหนด

ข้อควรทราบ

ASTM C518-17 ไม่ได้เป็นมาตรฐานที่ใช้ประเมินพฤติกรรมการลามไฟของวัสดุโดยตรง
– ค่าที่ได้จากการทดสอบนี้เป็นค่าที่วัดภายใต้สภาวะควบคุมในห้องปฏิบัติการ ซึ่งอาจไม่สะท้อนพฤติกรรมของวัสดุในสภาพการใช้งานจริง 100% เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความชื้น การเสื่อมสภาพตามเวลา หรือการติดตั้ง

2.การทดสอบการลามไฟของโฟม EPS (Flammability / Fire Propagation Test)

เนื่องจาก ASTM C518-17 ไม่ได้เป็นการทดสอบการลามไฟของวัสดุ โฟม EPS ซึ่งเป็นวัสดุที่ติดไฟได้ จึงจำเป็นต้องมีการทดสอบคุณสมบัติการลามไฟตามมาตรฐานอื่นๆ เพื่อประเมินความปลอดภัยในการใช้งาน มาตรฐานที่นิยมใช้ในการทดสอบการลามไฟของโฟม EPS หรือวัสดุฉนวนอื่นๆ ได้แก่:
ASTM E84 (Standard Test Method for Surface Burning Characteristics of Building Materials): หรือที่เรียกว่า “Tunnel Test” เป็นการทดสอบที่นิยมที่สุดสำหรับวัสดุก่อสร้างในสหรัฐอเมริกาเพื่อกำหนดค่าดัชนีการลามไฟ (Flame Spread Index, FSI) และดัชนีการเกิดควัน (Smoke Developed Index, SDI) ยิ่งค่า FSI และ SDI ต่ำ แสดงว่าวัสดุนั้นลามไฟและเกิดควันน้อยลง
UL 723: คล้ายกับ ASTM E84 โดย UL (Underwriters Laboratories)
NFPA 286 (Standard Methods of Fire Tests for Evaluating Room Fire Growth Contribution of Textile Wall Coverings and Ceilings): เป็นการทดสอบขนาดใหญ่ (Room Corner Test) ที่ใช้ประเมินพฤติกรรมการลามไฟของวัสดุที่ใช้บุผนังและฝ้าเพดานภายใต้สภาวะที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์ไฟไหม้จริง
ISO 5660 (Reaction to Fire Tests – Heat Release, Smoke Production and Mass Loss Rate – Part 1: Heat Release Rate (Cone Calorimeter Method)): เป็นการทดสอบที่ใช้ Cone Calorimeter เพื่อวัดอัตราการปลดปล่อยความร้อน (Heat Release Rate) อัตราการเกิดควัน และการลดลงของมวล ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการลามไฟ
CAN/ULC-S102: มาตรฐานของแคนาดาที่คล้ายคลึงกับ ASTM E84

โฟม EPS กับสารหน่วงไฟ (Fire Retardant)

โฟม EPS ทั่วไปนั้นติดไฟได้ง่ายและอาจลามไฟได้อย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับเปลวไฟ ดังนั้น เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติการลามไฟให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ผู้ผลิตมักจะเติมสารหน่วงไฟ (fire retardant additives) ลงในเม็ด Expanded Polystyrene ในกระบวนการผลิต ทำให้ได้โฟม EPS ชนิดที่เรียกว่า “Flame Retardant EPS” หรือ “Self-Extinguishing EPS” ซึ่งมีคุณสมบัติในการดับไฟได้เองเมื่อนำแหล่งกำเนิดเปลวไฟออกไป อย่างไรก็ตาม ควรทำความเข้าใจว่า “หน่วงไฟ” ไม่ได้หมายความว่า “ไม่ติดไฟ” โดยสิ้นเชิง แต่เป็นการชะลอการลามไฟและลดการเกิดควัน

3. ผลกระทบของมาตรฐาน ASTM C518-17 ต่อการรับรองวัสดุก่อสร้าง EPS

แม้ว่า ASTM C518-17 จะไม่ได้ทดสอบการลามไฟ แต่มีผลกระทบสำคัญต่อการรับรองและใช้งานโฟม EPS ในฐานะวัสดุก่อสร้างดังนี้:
การยืนยันประสิทธิภาพฉนวน: ค่า k-value และ R-value ที่ได้จากการทดสอบ ASTM C518-17 เป็นข้อมูลหลักที่ใช้ในการยืนยันประสิทธิภาพของโฟม EPS ในการเป็นฉนวนกันความร้อน ซึ่งเป็นคุณสมบัติหลักที่ทำให้โฟม EPS ถูกนำไปใช้ในงานก่อสร้าง (เช่น ผนัง, หลังคา, พื้น)
การปฏิบัติตามข้อกำหนดอาคาร (Building Codes): ข้อกำหนดอาคารในหลายประเทศกำหนดค่า R-value ขั้นต่ำสำหรับส่วนประกอบอาคารต่างๆ การทดสอบ ASTM C518-17 ช่วยให้ผู้ผลิตและผู้ออกแบบสามารถแสดงให้เห็นว่าโฟม EPS ที่ใช้นั้นเป็นไปตามข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพพลังงาน
การออกแบบทางวิศวกรรม: วิศวกรและสถาปนิกใช้ข้อมูลค่า k-value/R-value ในการคำนวณการถ่ายเทความร้อนของอาคาร การออกแบบระบบ HVAC (Heating, Ventilation, and Air Conditioning) และการประเมินการประหยัดพลังงาน
การสื่อสารคุณสมบัติผลิตภัณฑ์: ผู้ผลิตโฟม EPS ใช้ผลการทดสอบ ASTM C518-17 ในเอกสารข้อมูลทางเทคนิค (Technical Data Sheets) และเอกสารการตลาด เพื่อสื่อสารคุณสมบัติทางความร้อนของผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าและผู้ใช้งาน
การเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์: ผลการทดสอบที่เป็นมาตรฐานเดียวกันช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพทางความร้อนของโฟม EPS จากผู้ผลิตหลายรายได้อย่างยุติธรรมและเชื่อถือได้

การเตรียมชิ้นงานทดสอบโฟม EPS (Specimen Preparation)

ความถูกต้องของการทดสอบขึ้นอยู่กับการเตรียมชิ้นงานอย่างพิถีพิถัน
ขนาด: ASTM C518 ระบุว่าพื้นที่ผิวของชิ้นงานควรมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่การวัดของ Heat Flux Sensor อย่างน้อย 10% ในแต่ละด้าน เพื่อลดผลกระทบจากขอบ (edge effects) โดยทั่วไป ขนาดมาตรฐานที่ใช้กันคือ 300 mm x 300 mm (12 in x 12 in) หรือ 600 mm x 600 mm สำหรับเครื่องมือขนาดใหญ่
ความหนา: สามารถทดสอบชิ้นงานที่มีความหนาได้หลากหลาย โดยทั่วไป 10-50 mm สำหรับเครื่องมือมาตรฐาน แต่ก็มีเครื่องมือที่รองรับความหนาได้ถึง 100 mm หรือมากกว่า สิ่งสำคัญคือการเลือกความหนาที่เหมาะสมเพื่อให้การไหลของความร้อนผ่านชิ้นงานสามารถวัดได้อย่างแม่นยำ และครอบคลุมความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
ความเรียบของพื้นผิว (Surface Flatness): ผิวหน้าของชิ้นงานต้องเรียบและขนานกัน เพื่อให้มีการสัมผัสที่ดีเยี่ยมกับแผ่นร้อนและแผ่นเย็น รอยตำหนิหรือความไม่เรียบอาจทำให้เกิดช่องว่างอากาศ (air gaps) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าที่วัดได้คลาดเคลื่อน
ความชื้น (Moisture Content): ความชื้นมีผลอย่างมากต่อค่าการนำความร้อนของวัสดุ โฟม EPS แม้จะมีอัตราการดูดซึมน้ำต่ำ แต่ก็ยังมีความชื้นในระดับหนึ่ง ASTM C518 กำหนดให้ปรับสภาพชิ้นงานที่อุณหภูมิ 23 ± 2 °C และความชื้นสัมพัทธ์ 50 ± 5% จนน้ำหนักคงที่ (หรือตามมาตรฐานวัสดุนั้นๆ) โดยทั่วไปอาจใช้เวลา 24-72 ชั่วโมง หรือนานกว่านั้นสำหรับชิ้นงานที่มีความหนามาก การไม่ปรับสภาพชิ้นงานให้แห้งอย่างเหมาะสมจะทำให้ค่า k-value สูงกว่าความเป็นจริง

รายละเอียดของเครื่องมือ Heat Flow Meter (HFM Apparatus)

เครื่อง HFM ที่ใช้ใน ASTM C518-17 มีองค์ประกอบหลักดังนี้:
แผ่นร้อน (Hot Plate): เป็นแผ่นที่ถูกควบคุมอุณหภูมิให้คงที่และสูงกว่าอุณหภูมิห้องเล็กน้อย มักมีระบบทำความร้อนไฟฟ้าและเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิฝังอยู่
แผ่นเย็น (Cold Plate): เป็นแผ่นที่ถูกควบคุมอุณหภูมิให้คงที่และต่ำกว่าอุณหภูมิห้องเล็กน้อย มักมีระบบทำความเย็นด้วยของเหลวหมุนเวียน (circulating chiller) และเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ
เซ็นเซอร์การไหลของความร้อน (Heat Flux Transducer/Sensor): เป็นส่วนสำคัญที่วางอยู่บนหรือใต้แผ่นใดแผ่นหนึ่ง (ส่วนใหญ่จะอยู่ที่แผ่นเย็น) ประกอบด้วยเทอร์โมคัปเปิลจำนวนมากที่เชื่อมต่อกันแบบอนุกรม (thermopile) เพื่อตรวจจับความแตกต่างของอุณหภูมิขนาดเล็กมากที่เกิดขึ้นจากการไหลของความร้อนผ่านเซ็นเซอร์ สัญญาณที่ได้จะถูกแปลงเป็นค่าการไหลของความร้อน
ระบบควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Control System): เป็นระบบที่แม่นยำสูง ควบคุมอุณหภูมิของแผ่นร้อนและแผ่นเย็นให้คงที่ภายในค่าความคลาดเคลื่อนที่กำหนด (เช่น ±0.1°C) เพื่อให้มั่นใจว่าการถ่ายเทความร้อนเป็นไปอย่างคงที่
ระบบวัดความหนา (Thickness Measurement System): ใช้สำหรับวัดความหนาของชิ้นงานขณะทดสอบ ซึ่งสำคัญมากในการคำนวณค่า k และ R เนื่องจากโฟม EPS อาจมีการยุบตัวเล็กน้อยภายใต้น้ำหนักกดทับ
ระบบประมวลผลข้อมูล (Data Acquisition and Processing System): ซอฟต์แวร์ที่เชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ทั้งหมด เพื่อบันทึกข้อมูลอุณหภูมิ การไหลของความร้อน และคำนวณค่า k และ R โดยอัตโนมัติ

การเตรียมชิ้นงานทดสอบโฟม EPS (Specimen Preparation)

ความถูกต้องของการทดสอบขึ้นอยู่กับการเตรียมชิ้นงานอย่างพิถีพิถัน
ขนาด: ASTM C518 ระบุว่าพื้นที่ผิวของชิ้นงานควรมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่การวัดของ Heat Flux Sensor อย่างน้อย 10% ในแต่ละด้าน เพื่อลดผลกระทบจากขอบ (edge effects) โดยทั่วไป ขนาดมาตรฐานที่ใช้กันคือ 300 mm x 300 mm (12 in x 12 in) หรือ 600 mm x 600 mm สำหรับเครื่องมือขนาดใหญ่
ความหนา: สามารถทดสอบชิ้นงานที่มีความหนาได้หลากหลาย โดยทั่วไป 10-50 mm สำหรับเครื่องมือมาตรฐาน แต่ก็มีเครื่องมือที่รองรับความหนาได้ถึง 100 mm หรือมากกว่า สิ่งสำคัญคือการเลือกความหนาที่เหมาะสมเพื่อให้การไหลของความร้อนผ่านชิ้นงานสามารถวัดได้อย่างแม่นยำ และครอบคลุมความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
ความเรียบของพื้นผิว (Surface Flatness): ผิวหน้าของชิ้นงานต้องเรียบและขนานกัน เพื่อให้มีการสัมผัสที่ดีเยี่ยมกับแผ่นร้อนและแผ่นเย็น รอยตำหนิหรือความไม่เรียบอาจทำให้เกิดช่องว่างอากาศ (air gaps) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าที่วัดได้คลาดเคลื่อน
ความชื้น (Moisture Content): ความชื้นมีผลอย่างมากต่อค่าการนำความร้อนของวัสดุ โฟม EPS แม้จะมีอัตราการดูดซึมน้ำต่ำ แต่ก็ยังมีความชื้นในระดับหนึ่ง ASTM C518 กำหนดให้ปรับสภาพชิ้นงานที่อุณหภูมิ 23 ± 2 °C และความชื้นสัมพัทธ์ 50 ± 5% จนน้ำหนักคงที่ (หรือตามมาตรฐานวัสดุนั้นๆ) โดยทั่วไปอาจใช้เวลา 24-72 ชั่วโมง หรือนานกว่านั้นสำหรับชิ้นงานที่มีความหนามาก การไม่ปรับสภาพชิ้นงานให้แห้งอย่างเหมาะสมจะทำให้ค่า k-value สูงกว่าความเป็นจริง

ขั้นตอนการทดสอบโดยละเอียด (Detailed Test Procedure)

  1. การสอบเทียบเครื่องมือ (Apparatus Calibration):
    • ก่อนการทดสอบชิ้นงานที่ไม่ทราบค่า ต้องมีการสอบเทียบเครื่องมือด้วยวัสดุมาตรฐานอ้างอิง (SRM – Standard Reference Material) ที่มีค่าการนำความร้อนที่ทราบค่าอย่างแม่นยำ (เช่น Fiberboard, Glass Fiber Board ที่ได้รับการรับรองจาก NIST หรือเทียบเท่า)
    • การสอบเทียบจะดำเนินการที่ช่วงอุณหภูมิเฉลี่ย (mean temperature) ต่างๆ ที่ต้องการใช้งาน เพื่อสร้างกราฟสอบเทียบที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสัญญาณที่วัดได้จาก Heat Flux Sensor กับค่าการไหลของความร้อนจริง
    • ASTM C518 ระบุถึงวิธีการสอบเทียบแบบ Single-Specimen หรือ Double-Specimen ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่อง HFM
  2. การวางชิ้นงาน (Specimen Placement):
    • เปิดเครื่องและรอให้อุณหภูมิของแผ่นร้อนและแผ่นเย็นคงที่ตามที่ตั้งค่าไว้
    • วางชิ้นงานโฟม EPS ลงบนแผ่นเย็นหรือแผ่นร้อนอย่างระมัดระวัง
    • ลดแผ่นอีกด้านหนึ่งลงมาจนสัมผัสกับชิ้นงาน โดยให้มีการกดทับเล็กน้อยเพื่อการสัมผัสที่ดี (อาจมีกลไกกำหนดแรงกดที่แน่นอน)
  3. การตั้งค่าอุณหภูมิ (Temperature Setting):
    • อุณหภูมิเฉลี่ย (Mean Temperature): เป็นอุณหภูมิเฉลี่ยของชิ้นงานที่ต้องการทดสอบ เช่น 23.9°C (75°F) ซึ่งเป็นอุณหภูมิเฉลี่ยที่ใช้ในการรายงานค่า R-value มาตรฐาน
    • ความแตกต่างของอุณหภูมิ (ΔT): ตั้งค่าให้เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างแผ่นร้อนและแผ่นเย็นที่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการไหลของความร้อนที่สามารถวัดได้อย่างแม่นยำ โดยทั่วไปคือ 10-25°C หรือ 18-45°F
    • ตัวอย่าง: หากต้องการ Mean Temperature ที่ 23.9°C และ ΔT ที่ 20°C จะตั้งค่า Hot Plate ที่ 33.9°C และ Cold Plate ที่ 13.9°C
  4. การเข้าสู่สภาวะคงตัว (Reaching Steady-State):
    • นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุดและใช้เวลานานที่สุด (อาจใช้เวลาหลายชั่วโมงถึงครึ่งวัน ขึ้นอยู่กับความหนาและชนิดของวัสดุ)
    • เครื่องมือจะทำการวัดอุณหภูมิและสัญญาณจาก Heat Flux Sensor อย่างต่อเนื่อง
    • ซอฟต์แวร์จะตรวจสอบเงื่อนไขของ Steady-State โดยดูว่าค่าเฉลี่ยของการไหลของความร้อนและอุณหภูมิผิวหน้าในช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง) มีการเปลี่ยนแปลงไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด (เช่น ±1% หรือ ±0.5%)
    • อาจมีการตรวจสอบเพิ่มเติม เช่น สัญญาณจาก Heat Flux Sensor จะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเกิน 1% ในช่วง 5 นาที เป็นต้น
  5. การบันทึกและคำนวณผล (Data Recording and Calculation):
    • เมื่อเข้าสู่สภาวะคงตัวแล้ว ระบบจะทำการบันทึกค่าสุดท้ายของอุณหภูมิที่ผิวหน้า (Thot​, Tcold​), ความหนาของชิ้นงาน (L), และการไหลของความร้อน (q)
    • จากนั้นซอฟต์แวร์จะคำนวณค่า k และ R ตามสูตรที่กล่าวมา
  6. การทำซ้ำ (Replication):
    • เพื่อความน่าเชื่อถือ มักจะมีการทดสอบซ้ำ 2-3 ครั้งสำหรับชิ้นงานตัวอย่างเดียวกัน หรือทดสอบชิ้นงานจากชุดเดียวกันหลายๆ ชิ้น เพื่อหาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน

รายงานผลการทดสอบ (Test Report)

รายงานผลการทดสอบตาม ASTM C518-17 ควรมีข้อมูลดังนี้:
ชื่อผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายโฟม EPS
รายละเอียดของโฟม EPS (ความหนาแน่น, ชนิด, มีสารหน่วงไฟหรือไม่)
รายละเอียดของชิ้นงานทดสอบ (ขนาด, ความหนาที่วัดได้, สภาพ)
อุณหภูมิของแผ่นร้อน, แผ่นเย็น, อุณหภูมิเฉลี่ยในการทดสอบ
ความแตกต่างของอุณหภูมิ (ΔT)
ค่าการนำความร้อน (Thermal Conductivity, k-value) ที่วัดได้พร้อมหน่วย
ค่าความต้านทานความร้อน (Thermal Resistance, R-value) ที่คำนวณได้พร้อมหน่วย
สภาพการปรับสภาพชิ้นงาน (Conditioning)
รายละเอียดของเครื่องมือที่ใช้ (รุ่น, หมายเลขซีเรียล, วันที่สอบเทียบ)
ความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ (Accuracy and Precision) ของเครื่องมือ
วันที่ทดสอบและชื่อผู้ดำเนินการทดสอบ
ข้อจำกัดหรือข้อสังเกตพิเศษใดๆ

ปัจจัยที่มีผลต่อค่า k-value/R-value ของโฟม EPS

  • ความหนาแน่น (Density): เป็นปัจจัยหลัก โฟม EPS ที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น (หมายถึงมีเนื้อวัสดุมากกว่าช่องอากาศ) โดยทั่วไปจะมีค่า k-value ต่ำลง (เป็นฉนวนที่ดีขึ้น) จนถึงจุดหนึ่งที่ความหนาแน่นสูงเกินไปอาจทำให้ k-value เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีเนื้อวัสดุเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ช่วงความหนาแน่นที่ใช้สำหรับฉนวน EPS (ประมาณ 10-40 kg/m³) ค่า k-value มักจะแปรผกผันกับความหนาแน่น
  • ขนาดของเซลล์ (Cell Size): โฟม EPS ประกอบด้วยเม็ดโฟมขนาดเล็กจำนวนมากที่ขยายตัวและเชื่อมติดกัน ขนาดของเซลล์อากาศที่เล็กและสม่ำเสมอจะช่วยลดการถ่ายเทความร้อนจากการพาความร้อนภายในช่องว่างอากาศ (convection within air cells) และจากการแผ่รังสี (radiation)
  • ชนิดของก๊าซในเซลล์ (Type of Cell Gas): โดยทั่วไปโฟม EPS จะมีอากาศเป็นก๊าซหลักในเซลล์ อย่างไรก็ตาม โฟมบางชนิดอาจใช้สารเป่าที่แตกต่างกัน (เช่น CO2) ซึ่งอาจส่งผลต่อค่า k-value ในระยะเริ่มต้น
  • ความชื้น (Moisture Content): น้ำเป็นตัวนำความร้อนที่ดีกว่าอากาศมาก ดังนั้น หากโฟม EPS มีความชื้นสะสมอยู่ จะทำให้ค่า k-value สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • อุณหภูมิเฉลี่ย (Mean Temperature): ค่า k-value ของวัสดุส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยในการใช้งานสูงขึ้น (โดยเฉพาะวัสดุที่เป็นฉนวน) ดังนั้น การระบุค่า k-value หรือ R-value จึงต้องระบุอุณหภูมิเฉลี่ยที่ใช้ในการทดสอบเสมอ
  • อายุการใช้งาน (Aging): โฟม EPS มีเสถียรภาพค่อนข้างดีและไม่ค่อยเสื่อมสภาพทางความร้อนมากนักเมื่อเทียบกับโฟมบางชนิดที่ใช้สารเป่าที่มีค่าการนำความร้อนต่ำกว่าอากาศ

คำถามและคำตอบที่อาจเป็นประโยชน์ (สำหรับ FAQ)

การทำความเข้าใจมาตรฐาน ASTM C518-17 อย่างละเอียด รวมถึงความแตกต่างจากมาตรฐานการทดสอบการลามไฟอื่นๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินและเลือกใช้โฟม EPS สำหรับงานก่อสร้างและอุตสาหกรรม การระบุคุณสมบัติทางความร้อนและคุณสมบัติการลามไฟที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล จะช่วยให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย

ASTM C518-17 ใช้สำหรับทดสอบอะไรของโฟม EPS?

A1: ASTM C518-17 ใช้สำหรับทดสอบ ค่าการนำความร้อน (k-value) และ ค่าความต้านทานความร้อน (R-value) ของโฟม EPS ซึ่งบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการเป็นฉนวนกันความร้อน

โฟม EPS ที่มี R-value สูงดีกว่าอย่างไร?

A2: โฟม EPS ที่มี R-value สูง แสดงว่าเป็นฉนวนกันความร้อนที่ดีกว่า ซึ่งหมายถึงการถ่ายเทความร้อนผ่านวัสดุได้น้อยลง ช่วยประหยัดพลังงานในการทำความร้อนหรือความเย็นในอาคาร

ASTM C518-17 เกี่ยวข้องกับการลามไฟของโฟม EPS หรือไม่?

A3: ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ASTM C518-17 เป็นการทดสอบคุณสมบัติทางความร้อน (การนำความร้อน) ไม่ใช่การลามไฟ สำหรับการทดสอบการลามไฟของโฟม EPS ต้องใช้มาตรฐานอื่น เช่น ASTM E84 หรือ ISO 5660

มาตรฐานใดบ้างที่ใช้ทดสอบการลามไฟของโฟม EPS?

A4: มาตรฐานที่นิยมใช้ ได้แก่ ASTM E84 (เพื่อหา Flame Spread Index และ Smoke Developed Index), ISO 5660 (Cone Calorimeter สำหรับ Heat Release Rate) และ NFPA 286 (Room Corner Test สำหรับพฤติกรรมการลามไฟในห้อง)

“Flame Retardant EPS” หมายความว่าไม่ติดไฟเลยใช่ไหม?

A5: ไม่ใช่ครับ “Flame Retardant” หรือ “Self-Extinguishing” หมายถึงโฟม EPS นั้นได้รับการเติมสารหน่วงไฟ ซึ่งช่วยลดความเร็วในการลามไฟและอาจดับได้เองเมื่อนำแหล่งกำเนิดเปลวไฟออกไป แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ติดไฟเลย

ความหนาแน่นมีผลต่อค่า R-value ของโฟม EPS อย่างไร?

A6: โดยทั่วไป โฟม EPS ที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น (ในช่วงความหนาแน่นที่เหมาะสมกับการใช้งานเป็นฉนวน) จะมีค่า R-value ที่สูงขึ้นเล็กน้อย (เป็นฉนวนที่ดีขึ้น) เนื่องจากโครงสร้างเซลล์มีความละเอียดและแน่นหนากว่า ทำให้การถ่ายเทความร้อนภายในลดลง

Tags

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *