Mon -Sat 08:00-18:00

Tel : 062-336-9655

info@atcinsu.com

บริษัท เอ.ที.คอน อินซูเลชั่น จำกัด เรียกว่าสั้นๆ ว่า เอ.ที.โฟม หรือ เอ.ที.คอน คือบริษัทเดียวกัน ที่ขายโฟม EPS

โฟม EPS ทำถนน

โฟมทำถนน (EPS Foam) คืออะไร?

EPS Foam (Expanded Polystyrene Foam) หรือโฟมโพลีสไตรีนขยายตัว เป็นวัสดุสังเคราะห์น้ำหนักเบาที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกโพลีสไตรีนอัดขึ้นรูปด้วยไอน้ำร้อน ทำให้เกิดโครงสร้างเซลล์ปิดที่มีอากาศอยู่ภายในจำนวนมาก ซึ่งคุณสมบัติเด่นคือ น้ำหนักเบามาก, ความแข็งแรงสูงเมื่อเทียบกับน้ำหนัก, ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ, ไม่ดูดซับน้ำ, และ เป็นฉนวนกันความร้อนที่ดีเยี่ยม

ในงานวิศวกรรมโยธา โฟม EPS ถูกนำมาใช้เป็น “วัสดุเติมน้ำหนักเบา” (Lightweight Fill Material) เพื่อลดแรงกดทับของโครงสร้างบนชั้นดินอ่อน หรือในพื้นที่ที่มีปัญหาการทรุดตัว มักเรียกกันว่า Geofoam

โฟมทำถนน (EPS Geofoam) ใช้งานอย่างไร?

การใช้งาน EPS Geofoam ในงานถนนและโครงสร้างพื้นฐานมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดน้ำหนักบรรทุกบนชั้นดินอ่อน หรือเพื่อแก้ไขปัญหาการทรุดตัวของโครงสร้าง มีวิธีการใช้งานหลักๆ ดังนี้:

  1. การลดน้ำหนักของโครงสร้างบนดินอ่อน (Lightweight Embankment):
    • หลักการ: แทนที่จะถมดินหรือวัสดุที่มีน้ำหนักมาก ซึ่งจะไปเพิ่มแรงกดทับบนชั้นดินอ่อน ทำให้เกิดการทรุดตัว EPS Geofoam ซึ่งมีน้ำหนักเบามาก (ความหนาแน่นประมาณ 10-40 kg/m³) จะถูกนำมาใช้แทนที่ดินส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในการสร้างคันทางหรือโครงสร้างอื่นๆ
    • ประโยชน์: ลดการทรุดตัวของชั้นดินได้อย่างมีนัยสำคัญ, ลดเวลาในการก่อสร้าง (ไม่ต้องรอการทรุดตัวหยุด), ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว
    • ตัวอย่างการใช้งาน: สร้างคันทางบนพื้นที่ดินอ่อน, สร้างทางลาดเข้าสู่สะพานหรือทางยกระดับ, สร้างโครงสร้างกันดินในพื้นที่จำกัด
  2. การซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างที่ทรุดตัว (Slope Stabilization & Repair):
    • หลักการ: ในกรณีที่ถนนหรือโครงสร้างเดิมเกิดการทรุดตัวเนื่องจากชั้นดินอ่อน EPS Geofoam สามารถนำมาใช้แทนที่วัสดุเดิมที่มีน้ำหนักมากเพื่อลดแรงกดทับ และช่วยให้โครงสร้างกลับมาอยู่ในระดับที่ต้องการ
    • ประโยชน์: แก้ปัญหาการทรุดตัวได้อย่างถาวร, ลดความจำเป็นในการรื้อถอนโครงสร้างทั้งหมด, ลดผลกระทบต่อการจราจร
    • ตัวอย่างการใช้งาน: ซ่อมแซมถนนที่ทรุดตัว, ปรับระดับพื้นที่, เสริมเสถียรภาพลาดดิน
  3. การป้องกันแรงดันด้านข้างบนโครงสร้าง (Reduction of Lateral Pressure on Structures):
    • หลักการ: เมื่อมีการก่อสร้างกำแพงกันดินหรือฐานรากในพื้นที่ที่มีความแตกต่างของระดับ EPS Geofoam สามารถวางอยู่ด้านหลังโครงสร้างเพื่อลดแรงดันดินด้านข้างที่กระทำต่อโครงสร้างได้ เนื่องจาก EPS Geofoam มีน้ำหนักเบากว่าดินมาก ทำให้แรงดันดินที่กระทำต่อโครงสร้างลดลง
    • ประโยชน์: ลดความจำเป็นในการออกแบบโครงสร้างให้แข็งแรงเกินไป, ลดต้นทุนการก่อสร้าง, ยืดอายุการใช้งานของโครงสร้าง
    • ตัวอย่างการใช้งาน: ด้านหลังกำแพงกันดิน, รอบท่อใต้ดินขนาดใหญ่, ใต้ฐานรากอาคารที่อยู่ใกล้ลาดชัน
  4. การเป็นชั้นรองพื้นสำหรับโครงสร้างอื่นๆ (Subgrade Insulation/Protection):
    • หลักการ: ในบางกรณี EPS Geofoam สามารถใช้เป็นชั้นรองพื้นเพื่อป้องกันการแข็งตัวของดินในภูมิภาคหนาวเย็น (frost heave) หรือเพื่อเป็นชั้นแยกสำหรับโครงสร้างบางประเภท
    • ประโยชน์: ป้องกันความเสียหายจากวัฏจักรการแข็งตัว-ละลายของน้ำในดิน, เพิ่มเสถียรภาพของโครงสร้าง
    • ตัวอย่างการใช้งาน: ใต้พื้นถนนในเขตหนาวจัด, เป็นชั้นรองรับสนามบินหรือรันเวย์

Add a compelling title for your section to engage your audience.

Use this paragraph section to get your website visitors to know you. Consider writing about you or your organization, the products or services you offer, or why you exist. Keep a consistent communication style.

Add a descriptive title for the column.

ขั้นตอนการใช้งานโดยทั่วไป

การเตรียมพื้นที่: ปรับระดับและบดอัดชั้นดินเดิมให้ได้ตามข้อกำหนด

      2. การวางแผ่นรองพื้น (ถ้าจำเป็น): อาจมีการวางแผ่นใยสังเคราะห์ (geotextile) หรือแผ่นพลาสติกเพื่อแยกชั้นดินกับ EPS Geofoam หรือเพื่อป้องกันการกัดเซาะ

      3. การวาง EPS Geofoam: วางบล็อก EPS Geofoam เป็นชั้นๆ โดยอาจมีการตัดแต่งให้เข้ากับรูปทรงที่ต้องการ แต่ละชั้นจะถูกวางทับซ้อนกันเหมือนการก่ออิฐ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพ มักมีการใช้แผ่นเหล็กเสียบหรือหมุดยึด (dowels) เพื่อยึดบล็อกเข้าด้วยกันในแนวตั้งและแนวนอน

      4. การวางชั้นป้องกัน: หลังจากวาง EPS Geofoam ครบตามความสูงที่ต้องการ อาจมีการวางแผ่นใยสังเคราะห์ (geotextile) หรือแผ่นพลาสติกเพื่อป้องกัน EPS Geofoam จากการถูกทำลายโดยแสงแดดหรือสารเคมีต่างๆ

      5. การถมทับ: ถมทับด้วยชั้นวัสดุอื่นๆ เช่น ชั้นหินคลุกบดอัด, ชั้นรองพื้นถนน, และชั้นแอสฟัลต์คอนกรีต หรือคอนกรีตเสริมเหล็กด้านบน

      วิธีการเลือก EPS Geofoam

      การเลือก EPS Geofoam ที่เหมาะสมกับการใช้งานนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสามารถในการรับแรงกดทับ (Compressive Strength) และ ความหนาแน่น (Density)

      1. ความสามารถในการรับแรงกดทับ (Compressive Strength)

      นี่คือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในการเลือก EPS Geofoam โดยทั่วไปจะระบุเป็นค่าแรงที่ทำให้วัสดุเสียรูปไป 10% (Compressive Stress at 10% Deformation) หน่วยเป็น kPa หรือ psi

      • ยิ่งค่าความสามารถในการรับแรงกดทับสูง: ยิ่งสามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้มาก
      • การเลือกค่าที่เหมาะสม: ต้องคำนวณจากน้ำหนักบรรทุกทั้งหมดที่จะกระทำต่อ EPS Geofoam รวมถึงน้ำหนักของชั้นวัสดุที่ถมทับด้านบน น้ำหนักจราจร และปัจจัยด้านความปลอดภัย

      ประเภทของ EPS Geofoam ตามมาตรฐาน ASTM D6817 (เป็นมาตรฐานสากลที่นิยมใช้)

      ประเภท (Type)

      ความหนาแน่นขั้นต่ำ (kg/m³)

      กำลังอัดที่ 10% การเสียรูปขั้นต่ำ (kPa)

      การใช้งานทั่วไป (ตัวอย่าง)

      Type 10

      11.2

      40

      ใช้ในงานที่ไม่ได้รับน้ำหนักมากนัก, เป็นฉนวน

      Type 12

      12.8

      55

      งานที่ไม่ได้รับน้ำหนักปานกลาง

      Type 14

      14.4

      70

      งานถมทั่วไป, ทางลาดสะพานขนาดเล็ก

      Type 19

      19.2

      100

      นิยมใช้มากที่สุดในงานถนนทั่วไป, คันทาง, กำแพงกันดิน

      Type 22

      22.4

      125

      งานที่ต้องการการรับน้ำหนักสูงขึ้น

      Type 29

      28.8

      175

      งานที่ต้องการการรับน้ำหนักสูงมาก

      Type 39

      38.4

      275

      งานเฉพาะทางที่ต้องการการรับน้ำหนักสูงสุด

      หมายเหตุ: ตัวเลข “Type” ในมาตรฐาน ASTM D6817 มักจะสอดคล้องกับค่าความหนาแน่นโดยประมาณในหน่วย pcf (pounds per cubic foot) คูณด้วย 10 แต่ในการใช้งานจริงควรยึดค่ากำลังอัดเป็นหลัก

      2. ความหนาแน่น (Density)

      ความหนาแน่นของ EPS Geofoam ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการรับแรงและน้ำหนักของวัสดุ

      • ยิ่งความหนาแน่นสูง: ยิ่งมีความแข็งแรงและรับน้ำหนักได้ดีขึ้น แต่ราคาก็จะสูงขึ้นด้วย
      • หน่วย: kg/m³ หรือ pcf (pounds per cubic foot)

      3. ขนาดของบล็อก

      EPS Geofoam มีจำหน่ายในรูปของบล็อกขนาดต่างๆ ผู้ผลิตแต่ละรายอาจมีขนาดมาตรฐานที่แตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปจะมีขนาดใหญ่เพื่อให้ง่ายต่อการติดตั้งและลดจำนวนรอยต่อ

      • ขนาดทั่วไป: อาจจะประมาณ 1.2 x 2.4 เมตร หรือใหญ่กว่านั้น ความหนาหลากหลายตั้งแต่ไม่กี่สิบเซนติเมตรไปจนถึงเมตร
      • การเลือกขนาด: ควรพิจารณาจากขนาดพื้นที่หน้างาน, ความสะดวกในการขนส่งและยกติดตั้ง

      4. คุณสมบัติอื่นๆ ที่ควรพิจารณา:

      • การดูดซึมน้ำ (Water Absorption): EPS Geofoam มีคุณสมบัติการดูดซึมน้ำต่ำมาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในงานวิศวกรรมโยธาที่ต้องสัมผัสกับความชื้น แต่ควรเลือกชนิดที่มีค่าการดูดซึมน้ำต่ำตามมาตรฐาน
      • การทนไฟ (Fire Resistance): EPS Geofoam เป็นวัสดุที่ติดไฟได้ จึงอาจต้องมีการพิจารณามาตรการป้องกันไฟไหม้ในบางพื้นที่ หรือเลือกใช้ชนิดที่มีสารหน่วงการติดไฟ (flame retardant) ผสมอยู่
      • การทนทานต่อสารเคมี (Chemical Resistance): โดยทั่วไป EPS Geofoam ทนทานต่อสารเคมีทั่วไป แต่ควรตรวจสอบกับผู้ผลิตหากมีการสัมผัสกับสารเคมีเฉพาะ
      • ความคงทนต่อรังสียูวี (UV Resistance): แสงแดดสามารถทำลาย EPS Geofoam ได้เมื่อสัมผัสเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงควรมีการป้องกันการสัมผัสโดยตรงกับแสงแดด เช่น การคลุมด้วยผ้าใบหรือการถมทับด้วยวัสดุอื่นทันทีหลังการติดตั้ง
      • มาตรฐานและใบรับรอง: ตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น ASTM, มอก. หรือมาตรฐานอื่นๆ ที่ได้รับการยอมรับ

      การแยกแต่ละประเภทของ EPS Geofoam

      โดยหลักการแล้ว การแยกประเภทของ EPS Geofoam ในงานถนนจะยึดตาม ความหนาแน่น (Density) และ กำลังอัด (Compressive Strength) ซึ่งเป็นตัวกำหนด “เกรด” หรือ “Type” ของวัสดุนั้นๆ

      หลักการจำแนกที่สำคัญที่สุด:

      1. ตามมาตรฐานสากล (เช่น ASTM D6817):
        • อย่างที่กล่าวไปข้างต้น มาตรฐานนี้จะกำหนด Type ของ EPS Geofoam โดยอิงตามค่ากำลังอัดและค่าความหนาแน่นขั้นต่ำที่ต้องการ เช่น Type 19 คือ EPS Geofoam ที่มีกำลังอัดขั้นต่ำ 100 kPa และความหนาแน่นขั้นต่ำ 19.2 kg/m³
        • ความสำคัญ: การระบุ Type ตามมาตรฐานนี้จะช่วยให้วิศวกรและผู้จัดซื้อสามารถสื่อสารและเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติทางกลที่ต้องการได้อย่างชัดเจนและเป็นสากล
      2. ตามการใช้งาน (Performance-based):
        • บางครั้งผู้ผลิตหรือผู้ออกแบบอาจจำแนกตามความเหมาะสมกับการใช้งานโดยตรง เช่น
          • สำหรับงานรับน้ำหนักเบา: อาจใช้ EPS Geofoam เกรดที่มีกำลังอัดต่ำ เช่น Type 10 หรือ Type 12
          • สำหรับงานถนนทั่วไป/คันทาง: มักใช้เกรดปานกลางถึงสูง เช่น Type 19 หรือ Type 22
          • สำหรับงานรับน้ำหนักสูงพิเศษ: อาจใช้เกรด Type 29 หรือ Type 39
        • ความสำคัญ: เป็นการพิจารณาจากข้อกำหนดด้านวิศวกรรมของโครงการเป็นหลัก เพื่อให้มั่นใจว่าวัสดุมีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการรับน้ำหนักที่เกิดขึ้น
      3. ตามผู้ผลิต (Proprietary Grades):
        • ผู้ผลิตแต่ละรายอาจมีชื่อทางการค้าหรือรหัสผลิตภัณฑ์ของตนเอง ซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับค่าความหนาแน่นหรือกำลังอัดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น “EPS Geofoam 15” อาจหมายถึง EPS Geofoam ที่มีความหนาแน่น 15 kg/m³ หรือมีกำลังอัดค่าหนึ่ง
        • ความสำคัญ: เมื่อทำงานร่วมกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง ควรทำความเข้าใจรหัสผลิตภัณฑ์ของพวกเข และเปรียบเทียบกับมาตรฐานสากลเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าได้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามคุณสมบัติที่ต้องการ

      ตารางสรุปการจำแนกประเภทตามคุณสมบัติหลัก

      คุณสมบัติหลัก

      คำอธิบาย

      ผลต่อการใช้งาน

      ความหนาแน่น

      มวลต่อปริมาตร (kg/m³)

      ส่งผลโดยตรงต่อกำลังอัดและน้ำหนักของวัสดุ ยิ่งสูงยิ่งแข็งแรงแต่แพง

      กำลังอัด

      แรงที่ทำให้วัสดุเสียรูป 10% (kPa)

      สำคัญที่สุด กำหนดความสามารถในการรับน้ำหนักบรรทุก ยิ่งสูงยิ่งรับน้ำหนักได้มาก

      ค่าการซึมน้ำ

      เปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำเมื่อจมน้ำ

      ยิ่งต่ำยิ่งดี เพื่อรักษาคุณสมบัติทางกลและน้ำหนักเบาไว้

      ขนาดบล็อก

      มิติ กว้าง x ยาว x หนา

      ผลต่อการขนส่ง, การติดตั้ง, และจำนวนรอยต่อในโครงสร้าง

      สารหน่วงไฟ

      สารเคมีที่เติมเพื่อลดการติดไฟ

      สำคัญในบางพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยจากอัคคีภัย

      สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำ:

      การเลือก EPS Geofoam ควรเริ่มต้นจากการพิจารณา “น้ำหนักบรรทุกสูงสุด” ที่ EPS Geofoam จะต้องรองรับตลอดอายุการใช้งานของโครงสร้าง รวมถึงปัจจัยด้านความปลอดภัย จากนั้นจึงเลือก “กำลังอัด” ของ EPS Geofoam ที่เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ความหนาแน่นก็จะสัมพันธ์กับกำลังอัดนั้นๆ

      ข้อดีและข้อจำกัดของ EPS Geofoam

      ข้อดี:

      1. น้ำหนักเบามาก: เป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุด ช่วยลดแรงกดทับบนดินอ่อนได้อย่างมีนัยสำคัญ
      2. ความแข็งแรงสูงต่อน้ำหนัก: แม้จะเบา แต่มีความสามารถในการรับแรงกดทับได้ดี
      3. ลดการทรุดตัว: แก้ไขปัญหาการทรุดตัวของโครงสร้างบนดินอ่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      4. ลดระยะเวลาการก่อสร้าง: ไม่ต้องรอการทรุดตัวของดินเหมือนการถมดินทั่วไป
      5. ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ: ไม่หดตัวหรือขยายตัวมากนักเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป
      6. ไม่ดูดซับน้ำ: คุณสมบัติทางกลไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อสัมผัสกับน้ำ (แต่การแช่น้ำเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อการซึมผ่านของน้ำเล็กน้อย)
      7. ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว: บล็อกมีขนาดใหญ่ ตัดแต่งได้ง่ายด้วยเครื่องมือทั่วไป
      8. เป็นฉนวนกันความร้อน: มีคุณสมบัติเป็นฉนวนที่ดีเยี่ยม ช่วยป้องกันการแข็งตัวของดินในพื้นที่หนาวจัด
      9. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: สามารถรีไซเคิลได้ และไม่ปล่อยสารอันตราย

      ข้อจำกัด:

      1. ราคาสูงกว่าวัสดุถมทั่วไป: เมื่อเทียบกับดินหรือทราย EPS Geofoam มีราคาสูงกว่าต่อหน่วยปริมาตร แต่ต้องพิจารณาในภาพรวมของโครงการ (ค่าก่อสร้างรวม, ค่าบำรุงรักษา)
      2. ไม่ทนต่อสารเคมีบางชนิด: เช่น น้ำมันเบนซิน, ตัวทำละลายบางชนิด อาจทำให้ EPS Geofoam เสียหายได้ ต้องระมัดระวังในการใช้งานและขนส่ง
      3. ไม่ทนต่อรังสียูวี: หากสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน จะเกิดการผุกร่อนและเสื่อมสภาพได้ ต้องมีการคลุมป้องกัน
      4. ติดไฟได้: เป็นวัสดุที่ติดไฟได้แม้จะมีสารหน่วงไฟผสมอยู่ก็ตาม ควรมีมาตรการป้องกันอัคคีภัย
      5. ต้องการการป้องกันความเสียหายทางกล: ต้องมีการป้องกันจากของมีคม สัตว์ฟันแทะ หรือแรงกระแทกจากเครื่องจักรระหว่างการก่อสร้าง
      6. ต้องมีการออกแบบโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ: การเลือกใช้และการติดตั้งต้องได้รับการออกแบบและควบคุมโดยวิศวกรโยธาที่มีความเข้าใจในหลักการของ Geofoam

      ขอรายละเอียดเพิ่มเติม

      ขอใบเสนอราคา

      สายด่วนงานโฟม โทร. 062-336-9655, 062-585-4499, 082-440-2525